เปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับ Lexus LM ที่งาน Auto Shanghai 2019
ที่ได้รับการต่อยอดมาจาก Toyota Alphard / Vellfire ปรับปรุงใหม่เพิ่มความหรูหราตามแบบฉบับ Lexus ทั้งภายนอกและภายใน ถือเป็นรถ Minivan คันแรกของค่ายอีกด้วย มีให้เลือกด้วยกัน 2 รุ่น ในรหัส LM 350 และ LM 300h
ภายนอกของ
โดดเด่นด้วยกระจังหน้าที่เป็นเอกลักษณ์แบบ Spindle Grille ตามเอกลักษณ์ของ Lexus ไฟหน้าเป็นแบบ LED มาพร้อมกับ DRL และ Projector ที่จัดวางตามสไตล์เดิม ส่วนไฟท้ายเป็นแบบ LED เช่นกัน เชื่อมต่อหากันเต็มฝาท้าย ซึ่งเป็น Design Language แบบใหม่
ด้านข้างตกแต่งคิ้วประตูโครเมี่ยม จากขอบประตูคู่หน้า ยาวไปจนถึงขอบบนของหน้าต่างคู่หลัง สุดไปจนถึงด้านข้างของสปอยเลอร์หลังคา ส่วนสีตัวถังมีให้เลือกด้วยกัน 2 สีระหว่าง สีดำ Black และ สีขาว White Pearl Crystal Shine
ภายใน Lexus LM
ห้องโดยสารของ Lexus LM ตกแต่งด้วยวิถีใหม่อย่าง Gin-Sin-Boku (หมึกสีเงิน) ซึ่งใช้แรงบันดาลใจมาจากศิลปกรรมขั้นสูงของญี่ปุ่น ให้ความหรูหราเป็นเอกลักษณ์ วัสดุที่ใช้ตกแต่งมีทั้ง หนัง, โลหะ และการเดินด้ายด้วยฝีมือขั้นสูง ส่วนจำนวนเบาะมีให้เลือกทั้งแบบ 4 และ 7 ที่นั่ง
ทั้งรุ่น 4 และ 7 ที่นั่ง จะให้เบาะแถว 2 แบบแยกมาให้ สิ่งอำนวยความสดวกสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง มีหลายรายการไม่ว่าจะเป็น จอแสดงผลขนาด 26 นิ้ว, ตู้เย็น, ที่เก็บร่ม และแผงควบคุมระบบต่างๆ ด้วยการสัมผัส ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งเบาะ, ความบันเทิง และระบบปรับอากาศแยกตอน สำหรับรุ่น 4 ที่นั่งชัดเจนคือมีการกันห้องโดยสารกับผู้ขับขี่เพื่อความเป็นส่วนตัว
Lexus LM มีขุมพลังให้เลือกด้วยกัน 2 แบบ
LM 300h
เครื่องยนต์เบนซิน รหัส 2AR-FXE 4 สูบ ขนาด 2.5 ลิตร 2,493 ซีซี. กำลังสูงสุด 152 แรงม้า ที่ 5,700 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 206 นิวตันเมตร ที่ 4,400 – 4,800 รอบ/นาที จับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว มอเตอร์ไฟฟ้าตัวหน้า 143 แรงม้า 270 นิวตันเมตร / มอเตอร์ไฟฟ้าตัวหลัง 68 แรงม้า 139 นิวตันเมตร พละกำลังทั้งระบบเมื่อเครื่องยนต์ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า รวม 197 แรงม้า แบตเตอรี่ Nickel-hydrogen 6.5 Ah ส่งกำลังผ่านเกียร์ E-CVT ขับเคลื่อน 4 ล้อ E-Four
LM 350
เครื่องยนต์เบนซิน รหัส 2GR-FKS V6 สูบ D-4S ขนาด 3.5 ลิตร 3,456 ซีซี. กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 94.0 x 83.0 มิลลิเมตร กำลังสูงสุด 301 แรงม้า ที่ 6,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 361 นิวตันเมตร ที่ 4,600 – 4,700 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ Direct Shift มีให้เลือกทั้งขับเคลื่อน 2 ล้อ และ ขับเคลื่อน 4 ล้อ ช่วงล่างนำเทคโนโลยีโช๊คอัพแบบ Swing Valve อย่างเดียวกับของ Lexus ES มาใช้
สำหรับประเทศไทยในการจัดจำหน่ายคงต้องรอกันก่อน ส่วนราคานั้น ด้วยการตกแต่งที่เพิ่มขึ้นหลายอย่างค่าตัวก็คงสูงกว่า Alphard / Vellfire แน่นอน
เขียนโดย: 168automotive